
บ่ายวันหนึ่งในร้านกาแฟเงียบสงบ ผมนั่งสนทนากับมิตรสหายถึงประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจไม่กล้าพูดถึง “การจากไปอย่างมีศักดิ์ศรี” หรือสิทธิในการเลือกจบชีวิตด้วยเงื่อนไขของตนเอง ในบางประเทศอย่างเนเธอร์แลนด์ เบลเยียม หรือบางรัฐในสวิตเซอร์แลนด์ แนวคิดนี้เริ่มเป็นที่ยอมรับในกรณีที่ผู้ป่วยเผชิญโรคร้ายที่รักษาไม่ได้และทรมานอย่างยาวนาน แต่แม้จะมีประเทศต้นแบบที่เปิดประตูให้สิทธินี้ได้บ้าง โลกส่วนใหญ่ก็ยังปิดเงียบ
ผมบอกกับเพื่อนว่า แอบหวังว่าสักวันหนึ่งมนุษย์จะสามารถเลือก “จากไป” อย่างสงบได้โดยไม่ต้องผ่านเงื่อนไขที่โหดร้าย เพียงเดินเข้าไปในสถานพยาบาลที่ปลอดภัย ชำระค่าใช้จ่าย และจากลาอย่างเรียบง่ายในไม่กี่นาที แต่เพื่อนกลับหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “สิทธิมนุษยชนคงไม่มีวันชนะจริยธรรมของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน” โลกที่เรายังเรียกว่าปกติ ในนิยามของมัน ยังไม่อนุญาตให้เราจากไปแม้เราจะหมดแรงอยู่แล้ว
เขาเล่าให้ฟังต่อว่า แม้ในวาระสุดท้ายของผู้ป่วยบางคน แพทย์ก็ยังต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ต้องรักษาลมหายใจทุกเสี้ยววินาที แม้จะต้องเจาะคอ ใส่สายอาหาร หรือยื้อชีวิตไว้ด้วยวิธีที่อาจเจ็บปวด นั่นคือจรรยาบรรณแห่งการรักษา ซึ่งบางครั้งก็สวนทางกับคุณภาพของชีวิตที่เหลือ
ผมหัวเราะกลับเบาๆ ว่า ถ้าหมอไม่อยากรู้สึกผิดนัก ก็เพียงแค่วาง “ทางเลือก” ไว้ข้างเตียง แล้วหันหลังเดินออกไปก็ได้ เหมือนลืมบางอย่างไว้โดยไม่ได้ตั้งใจ ให้คนไข้ตัดสินใจเองก็สิ้นสุดแบบ win-win… เพื่อนผมหัวเราะอีกครั้ง แต่ผมไม่ได้หัวเราะตาม
ในวันที่โลกยังไม่เปิดรับทางเลือกนั้น ผมยังคงหวังต่อไป ว่าบางทีอาจมีสักวัน ที่มนุษย์จะได้รับสิทธินี้อย่างเปิดเผยและปลอดภัย ไม่ใช่เพื่อหนี แต่เพื่อจากไปอย่างสงบ…ในแบบที่ตนเองเลือก
จนกว่าจะถึงวันนั้น เราผู้ที่ยังมีลมหายใจ อาจต้องอยู่ร่วมกับ “ความปรารถนาอันเงียบงัน” นี้ต่อไป…ในโลกที่ยังคงงดงามปนบิดเบี้ยวเช่นเดิม