Skip to main content
Piyabut Chairatna Photography Official Website

ยุคเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมฟิล์ม: การถือกำเนิดของฟิล์มที่ “ไม่มีชื่อ” แต่มีบทบาทสำคัญ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราเริ่มเห็นฟิล์มประเภทใหม่ๆ ปรากฏในตลาดมากขึ้น ตั้งแต่ฟิล์ม bulk ที่ไม่มีชื่อ ฟิล์มสีที่ไร้รหัสบนหนามเตย ไปจนถึงฟิล์มรีแบรนด์จากโรงงานเล็กทั้งในจีนและยุโรปตะวันออก
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ “กระแสแฟชั่น” แต่เป็นสัญญาณสำคัญของการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมฟิล์มระดับโลก
นี่คือบทวิเคราะห์ว่า… ทำไม “ฟิล์มไร้ชื่อ” ถึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศฟิล์มยุคใหม่
1) ฟิล์ม Bulk แบบไม่มีชื่อ: จากวัตถุดิบอุตสาหกรรมสู่พื้นที่สร้างสรรค์ใหม่
ฟิล์ม bulk ส่วนใหญ่เคยถูกผลิตเพื่ออุตสาหกรรมที่ไม่ใช่งานภาพถ่ายสติลล์ เช่น
• การถ่ายภาพเทคนิค, งานวิทยาศาสตร์
• ระบบกล้องอุตสาหกรรม
• หรือเป็นสต็อกเหลือจากสายการผลิตเพื่อการค้า
เดิมฟิล์มประเภทนี้ไม่ได้ถูกตั้งใจผลิตเพื่อผู้บริโภคทั่วไป จึงไม่มี
• บรรจุภัณฑ์
• ข้อมูล ISO
• ชื่อรุ่น
• หรือแม้แต่โทนสีที่แน่นอน
แต่เมื่อตลาดฟิล์มหลักผลิตไม่ทันหลังโควิด ฟิล์ม bulk จึงถูกดึงออกมา “ทำตลาดใหม่”
ตามหลักเศรษฐศาสตร์แล้ว นี่คือการใช้ประโยชน์จาก ส่วนเกินของสายการผลิต (surplus utilization) อย่างชาญฉลาด
ข้อดี: ราคาย่อมเยา และเปิดพื้นที่ให้ผู้ใช้ทดลอง
ข้อเสีย: มีความไม่เสถียรของโทนสี–เกรน–คอนทราสต์ตามล็อตผลิต
2) ฟิล์มไร้รหัสบนหนามเตย: ผลพวงของโรงงานเล็ก + ล็อตผลิตทดลอง
การไม่มีรหัสบนหนามเตย (edge marking) สะท้อนเหตุผลสำคัญสองข้อ:
(1) มาจากโรงงานขนาดเล็ก (Small-batch Factory)
โรงงานเหล่านี้มักไม่มีเครื่องจักรสำหรับปั๊มรหัสฟิล์ม ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ซับซ้อนและต้นทุนสูงมาก
การตัดขั้นตอนนี้ออก ช่วยลดต้นทุนเพื่อนำฟิล์มเข้าสู่ตลาดแข่งขันกับแบรนด์หลักได้
(2) เป็นฟิล์มที่ไม่ได้ตั้งใจทำตลาดวงการสติลล์โดยตรง
ฟิล์มจำนวนมากในกลุ่มนี้ถูกผลิตจาก:
• ฟิล์มโรงงานอุตสาหกรรม
• ฟิล์มทางการแพทย์
• ฟิล์มแยกสีทางกราฟิก
• ฟิล์มสต็อกเก่าที่ยังใช้งานได้
เมื่อนำมารีแบรนด์หรือแพ็กใหม่ รหัสจึงไม่ถูกใส่ในขั้นตอนการผลิต
การขาดรหัสดังกล่าวไม่ใช่ “ของปลอม” หรือ “ไม่มาตรฐาน”
แต่สะท้อนบริบทที่ว่า ฟิล์มแบบนี้เกิดขึ้นเพราะอุตสาหกรรมกำลังไหลกลับมาจากการถูกละทิ้งไปนานหลายสิบปี
3) รีแบรนด์ฟิล์มจากจีนและยุโรปตะวันออก: การกลับมาของผู้ผลิตระดับภูมิภาค
โรงงานในจีน โปแลนด์ สาธารณรัฐเช็ก และรัสเซีย มีประวัติการผลิตฟิล์มยาวนานมาก่อนยุคดิจิทัล
เพียงแต่ ในช่วงที่โลกเปลี่ยนไปสู่ดิจิทัล พวกเขาถูกมองข้าม
หลังโควิด เมื่อดีมานด์ฟิล์มกลับมาอย่างกะทันหัน โรงงานเหล่านี้จึงกลายเป็น “ผู้เล่นสำคัญ” ที่สามารถเติมช่องว่างได้ทันที
ลักษณะเด่นของฟิล์มรีแบรนด์จากตลาดเหล่านี้
• มีโทนสีที่ “ไม่เป๊ะ” แบบฟิล์มญี่ปุ่นหรืออเมริกา
• ผลิตปริมาณไม่มาก (small-batch)
• หลายแบรนด์ใช้แม่พิมพ์และสูตรใกล้เคียงกัน → จึงให้ผลลัพธ์คล้ายกัน
• มักมีคาแรกเตอร์ทางภาพเฉพาะตัว
• ราคาเข้าถึงง่ายกว่าฟิล์มหลักอย่าง Kodak หรือ Ilford
เรียกได้ว่าเป็น “ฟิล์มอินดี้” ของโลกฟิล์ม ก็ไม่ผิดนัก
4) โรงงานจีน: ผู้เล่นรายใหม่ที่กำลังทำสิ่งที่ Kodak เคยทำในยุค 1950s
โรงงานจีนไม่ได้แค่ผลิตฟิล์มราคาถูก แต่เริ่มลงทุนสร้าง “ระบบนิเวศใหม่” ของตัวเอง
คล้ายกับที่ Kodak เคยทำในศตวรรษก่อน ตั้งแต่เคมีภัณฑ์ น้ำยาล้าง ไปจนถึงกล้องฟิล์มราคาประหยัด
ในมุมมองเศรษฐศาสตร์ เทรนด์นี้เรียกว่า import-substitution หรือการผลิตทดแทนการนำเข้า
เพื่อตอบโจทย์ดีมานด์ที่ผู้ผลิตรายใหญ่ตอบสนองไม่ทัน
จีนจึงกำลังกลายเป็น จักรวาลฟิล์มขนาดเล็กของตัวเอง
และอาจเป็นผู้ที่กำหนดรูปแบบตลาดฟิล์มโลกในอีกสิบปีข้างหน้า
5) ภาพรวม: นี่ไม่ใช่ “ยุคฟิล์มล่มสลาย” แต่เป็นช่วงรอยต่อคล้ายปี 2000
วงการฟิล์มวันนี้กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกับยุคที่ดิจิทัลกำลังรุ่ง แต่ฟิล์มยังไม่หมดไป
มันคือยุคที่รูปแบบการผลิตกำลังปรับตัวอย่างรุนแรง
• แบรนด์ใหญ่ยังผลิต แต่ไม่ทันดีมานด์
• แบรนด์เล็กและโรงงานภูมิภาคเริ่มมีบทบาท
• ฟิล์มใหม่จำนวนมากเกิดจากความขาดตลาดของฟิล์มหลัก
• ตลาดกำลังทดลองวิธีอยู่รอดแบบใหม่ในสเกลที่เล็กกว่าเดิมมาก
ความวุ่นวายที่เห็น ไม่ใช่สัญญาณล้ม แต่เป็นสัญญาณ “เปลี่ยนผ่าน”
บทสรุป: ฟิล์มไม่มีชื่อ คือภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมที่ไม่เคยตาย
ฟิล์ม bulk, ฟิล์มไร้รหัส, และฟิล์มรีแบรนด์ คือหลักฐานชัดเจนว่า
อุตสาหกรรมฟิล์มยังหายใจอยู่ เพียงแต่ไม่ได้หายใจเป็นวงจรเดิมแบบ Kodak/Fuji อีกต่อไป
มันคือยุคที่ ความหลากหลายเพิ่มขึ้น
แต่ ความแน่นอนลดลง
ซึ่งสำหรับช่างภาพฟิล์ม นี่คือทั้งความท้าทายและเสน่ห์ใหม่ของการถ่ายภาพในยุคนี้
ฟิล์มอาจไม่มีชื่อ
แต่เรื่องราวของมัน… กำลังสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการอยู่เงียบๆ เช่นกัน